101 จำนวนผู้เข้าชม |
1. ล้างรถและเช็ดแห้ง
ล้างรถทันทีหลังโดนน้ำฝน: ล้างรถด้วยน้ำสะอาดเพื่อขจัดคราบสกปรกที่อาจมีสารเคมีที่ทำลายสีรถ
ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดแห้ง: เช็ดให้แห้งทันทีหลังล้างเพื่อป้องกันการเกิดคราบน้ำ
2. เคลือบแว็กซ์และป้องกันสนิม
เคลือบสีรถด้วยแว็กซ์: การเคลือบแว็กซ์จะช่วยปกป้องสีรถจากน้ำและสารเคมีในน้ำฝน
ใช้น้ำยาป้องกันสนิม: ฉีดพ่นน้ำยาป้องกันสนิมบนส่วนที่เป็นโลหะของรถ โดยเฉพาะบริเวณใต้ท้องรถและซุ้มล้อ
3. ตรวจสอบและดูแลระบบไฟฟ้า
ตรวจสอบระบบไฟฟ้า: ตรวจสอบว่ามีการลัดวงจรหรือไม่ และทำความสะอาดส่วนที่มีความชื้น
เปลี่ยนแบตเตอรี่และสายไฟที่เสื่อมสภาพ: หากพบปัญหาควรเปลี่ยนทันที
4. ตรวจสอบยางและระบบเบรก
ตรวจสอบดอกยางและแรงดันลมยาง: ยางที่มีดอกยางเพียงพอจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนน
ทดสอบและทำความสะอาดเบรก: เบรกที่เปียกอาจทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ควรทดสอบบ่อย ๆ
5. ป้องกันการเกิดฝ้าในกระจก
ใช้ระบบปรับอากาศ: เปิดระบบปรับอากาศหรือเครื่องไล่ฝ้าเพื่อป้องกันการเกิดฝ้าในกระจกหน้ารถและกระจกหลัง
ใช้สารเคมีป้องกันฝ้า: ฉีดพ่นสารเคมีป้องกันฝ้าบนกระจก
6. ตรวจสอบและทำความสะอาดภายในรถ
เปิดประตูและหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ: หลังจากฝนหยุด เปิดประตูและหน้าต่างเพื่อระบายอากาศและลดความชื้นในรถ
ใช้เครื่องดูดความชื้น: วางเครื่องดูดความชื้นหรือถุงซิลิก้าเจลในรถเพื่อดูดซับความชื้น
7. ตรวจสอบระบบระบายน้ำ
ทำความสะอาดท่อระบายน้ำ: ตรวจสอบและทำความสะอาดท่อระบายน้ำและรางน้ำฝนเพื่อป้องกันการอุดตัน
8. ตรวจสอบและบำรุงรักษาภายนอกรถ
ตรวจสอบกระจกและไฟหน้า: กระจกและไฟหน้าควรทำงานได้ดีและสะอาดเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน
ตรวจสอบซุ้มล้อและใต้ท้องรถ: ทำความสะอาดบริเวณที่น้ำฝนและโคลนมักเกาะติด